เป็นเกมที่กำลังมาแรงเลยในขณะนี้ หลังจากที่การเปิดให้เล่นกันไปสำหรับเกม Overwatch 2 ที่แฟน ๆ เกมต่างรอคอย และวันนี้เราก็ไม่พลาดที่จะพาทุกคนไปทำความรู้จักเกมนี้กัน พร้อมทั้งการเปลี่ยนแปลงจาก Overwatch สู่ Overwatch 2 ที่ผู้เล่นเก่าและใหม่ควรศึกษาเอาไว้ เมื่อลงสู่สังเวียนก็ได้ได้เล่นอย่างสนุก พร้อมแล้วไปกันเลย
วันที่ 5 ตุลาคม 2022 ที่ผ่านมากับเกม Overwatch 2 เกม FPS มาแรงจากค่ายพ่อมดน้ำแข็ง Blizzard Entertainment ที่พอเปิดตัวปุ๊บ เซิร์ฟก็ล่มปั๊ป เพราะจากการรอคอยของแฟนเกมที่อยากเข้าไปสัมผัสความสนุก ซึ่งส่งผลต่อมากับการรอคอยคิวเพื่อเข้าเล่นจนทำให้หลาย ๆ คนหัวร้อนและเซ็งไปตาม ๆ กันเลยทีเดียว
เข้าสู่ระบบวันนี้เพื่อเล่นเป็น Kiriko (คิริโกะ) ผู้พิทักษ์ที่ดุดันแต่ใจงาม และเธอคือฮีโร่ประเภทสนับสนุนที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อไม่นานมานี้ เธอจะมาพร้อมกับฮีโร่แทงค์ Junker Queen (จังเกอร์ควีน) และฮีโร่สร้างความเสียหาย Sojourn (โซเจิร์น) ในฐานะสามหญิงสายพลิกเกมที่เป็นส่วนหนึ่งของฮีโร่ 35 ตัวที่สามารถเล่นได้ แน่นอนว่าจะให้เรียกยุคใหม่โดยไม่มีการเปลี่ยนรูปลักษณ์เลยก็คงจะไม่ได้ วันนี้ตัวเกมจะมีการแก้ไขรูปลักษณ์ของฮีโร่ทุกตัว การเปลี่ยนแปลงชุดความสามารถของฮีโร่หลายตัว รูปแบบผู้เล่นหลายคน 5vs5 แบบใหม่ 6แผนที่ใหม่ โหมดเกมใหม่ Push (โหมดดันของ) ระบบปิงแบบใหม่ โหมดการแข่งขันที่ได้รับการออกแบบใหม่และอีกมากมายที่คุณจะได้สัมผัสผ่านกราฟิกและเสียงที่ได้รับการอัพเดตใหม่ นอกจากนี้ เหล่าตัวละครที่หลากหลายของเกมจะมีชีวิตชีวามากกว่าที่เคยด้วยเสียงพากย์ใหม่กว่า 40,000 ประโยค
ปลดล็อกระบบแข่งขัน Competitive play
สำหรับผู้เล่นใหม่ที่สร้างบัญชีใน Overwatch 2 จะต้องผ่านโหมดต้อนรับผู้เล่นหน้าใหม่ First-Time User Experience (FTUE) และต้องเอาชนะให้ได้ 50 เกมก่อนจะปลดล็อกโหมด Competitive ซึ่งจะช่วยให้ผู้เล่นใหม่ได้ทำความรู้จักระบบและฝึกเล่นเกมจนคล่องก่อนเข้าสู่โหมดแข่งขันแบบจริงจัง ส่วนผู้เล่นเดิมจะสามารถปลดล็อกโหมด Competitive ได้ทันทีที่เกมเปิดให้บริการ
ระบบแรงค์แบบใหม่ Skill Tier
ทีมพัฒนาอยากให้ผู้เล่นทุกคนรู้สึกว่าได้รับความคืบหน้าในทุกเกมที่เล่นตั้งแต่วันแรกใน Overwatch 2 แต่เดิมการจัดระดับจะใช้ระบบ SR (Skill Rating) โดยเป็นการขยับขึ้นลงในแรงค์ตามรอบแพ้ชนะของแต่ละเกม ซึ่งระบบดังกล่าวสร้างปัญหาให้กับผู้เล่นหลายคน เนื่องจากรู้สึกว่าแรงค์ของตนเองไม่คืบหน้าแม้จะเล่นไปหลายเกม ใน Overwatch 2 ได้ปรับมาใช้ระบบ Skill Tier Division โดยแบ่งจากระดับ Bronze ไปถึงระดับ Grand Master แต่ละระดับแบ่งออกเป็น 5 ระดับย่อย ทุกเกมจะได้คะแนนสะสมเพื่อไต่ระดับ ผู้เล่นจะได้เลื่อนแน่นอนระดับหากชนะติดต่อกัน 7 รอบ หรือแพ้ติดต่อกัน 20 รอบ ไม่ได้เป็นการเลื่อนระดับขึ้นหรือลงในทุกรอบที่เล่นแบบเดิม
UI สำหรับ Match-focused
ใน Overwatch 2 ได้มีการปรับหน้าตา UI บนหน้าจับคู่ในโหมด Competitive ตามคำเรียกร้องจากผู้เล่น โดยตัดกรอบสัญลักษณ์แสดงระดับของผู้เล่นออก และไม่แสดง Skill tiers ของผู้เล่น จะแสดงแค่ Name Card และ Title เท่านั้น ทีมพัฒนาได้ออกแบบกระดานแสดงคะแนนแบบใหม่และตัดส่วนแสดงเหรียญรางวัลออก เพราะเหรียญรางวัลอาจไม่ได้บ่งชี้คุณสมบัติของผู้เล่นอย่างชัดเจน ข้อมูลแบบใหม่จะสื่อสารระหว่างผู้เล่นในทีมได้มากขึ้นและช่วยให้ผู้เล่นสามารถวางแผนการเล่นได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ยังมีระบบ Ping แบบใหม่ที่ช่วยให้ผู้เล่นในทีมสามารถสื่อสารกันด้วยระบบคำสั่งแบบเสียง โดยไม่จำเป็นต้องเปิดไมค์
ฟีเจอร์ Game Reports
Game Reports เป็นฟีเจอร์สรุปข้อมูลจากทุกเกมที่จะช่วยให้ผู้เล่นพัฒนาทักษะการเล่นให้ดียิ่งขึ้น โดยจะอยู่ใน History Tab ของส่วนแสดง Career Profile ที่จะแสดงสถิติทั้งภาพรวมของทุกเกม แต่ละเกม และแต่ละฮีโรที่เลือกใช้
กระดานแสดงผล Top 500
กระดานแสดงผล Top 500 จะปลดล็อกเมื่อทำตามเงื่อนไขในทุกครั้งที่ขึ้นซีซันใหม่ เช่น เล่นครบ 25 เกมในโหมด Role Queue หรือเล่นครบ 50 เกมใน Open Queue กระดานแสดงผลจะแตกต่างกันไปตามแต่ละแพลตฟอร์มที่เล่น
ระบบจับคู่ผ่าน Skill Decay ของโหมด Competitive
ทีมพัฒนาได้เตรียมระบบช่วยเหลือสำหรับผู้เล่นที่ห่างหายจาก Overwatch ไปนาน โดยใช้เรตการจับคู่กับผู้เล่นที่มี Skill level ต่ำกว่าเล็กน้อย เมื่อผู้เล่นคนดังกล่าวเล่นเกมอย่างต่อเนื่อง ระบบจะจับคู่ให้เจอกับผู้เล่นระดับเดียวกันโดยอัตโนมัติ
รางวัลจากโหมด Competitive
การจัดลำดับใน Competitive play จะแบ่งตามตารางภาพรวมของเกมในแต่ละซีซัน หลังจากจบหนึ่งซีซันผู้เล่นจะได้รับไอเทมประดับ Name Card แสดง Title ตามระดับของตนเอง และจะใช้ได้เฉพาะในซีซันถัดไปเท่านั้น ส่วนคะแนน Competitive Points จะได้รับ 10 points ต่อ 1 เกมที่ชนะ เมื่อสะสมถึง 3,000 points จะสามารถปลดล็อกอาวุธสีทองของฮีโรคนใดก็ได้
การเปลี่ยนแปลงที่ควรรู้
เปลี่ยนจากทีมละ 6 คน เหลือ 5 คน
เดิมที Overwatch เป็นเกมที่มีการแข่งขันกันทีมละ 6 คน (6vs6) แต่ภาคนี้ มีการปรับเปลี่ยนใหม่เหลือเป็นการแข่งขันทีมละ 5 คนเท่านั้น Jeff Kaplan อดีตผู้กำกับเกม Overwatch 2 เคยอธิบายว่า สาเหตุหลักที่ตัวเกมหันมาใช้ 5v5 เพราะต้องการให้ผู้เล่นสามารถอ่านสถานการณ์ของสนามรบให้ง่ายขึ้น ลดความวุ่นวายลง ส่งผลให้เกมเมอร์สามารถตัดสินใจระหว่างการเล่นได้รวดเร็ว เกิดการเล่นเกมโดยมีการวางแผน พร้อมปรับบาลานซ์ใหม่ให้เกมสมดุลอย่างเห็นชัด
มีการจำกัดคลาส ให้ลง Tank เฉพาะ 1 คนเท่านั้น
จากเดิมที่ผู้เล่นสามารถเลือกเล่นคลาสอะไรก็ได้ตามใจชอบ ใน Overwatch 2 มีการเสนอระบบใหม่ เป็นการจำกัดคลาสแล้วว่าในทีมต้องมีคลาสสายแทงก์ (Tank) แค่ 1 คนเท่านั้น การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ จึงเปรียบเสมือนเป็นการโบกมือลาทีม META อย่าง Tank 2 ตัว ของเกม Overwatch ภาคแรกไปได้เลย แล้วให้ตัวละครสาย DPS กับ Support กลับมาเฉิดฉายอีกครั้ง หลังจากเกมภาคแรก มีการปรับเปลี่ยนตามคำร้องของผู้เล่น ESports มากเกินไป จนบาลานซ์ของเกมขาดความสมดุล
Tank มีการปรับบาลานซ์ใหม่
Overwatch 2 มีการปรับความสามารถของคลาสใหม่ ให้ Tank เป็นคลาสเดียวเท่านั้นที่มีทักษะสกิลในการทำ Stun ให้ศัตรูหยุดชะงัก ตัวละครคลาส DPS กับ Support ทั้งหมด ที่มีความสามารถในการหยุดชะงักศัตรูจะถูกทดแทนด้วยสกิลใหม่หรือไม่ก็เนิร์ฟ ตัวอย่างเช่น การยิงค้างของอาวุธปืนหลัก Mei ใน Overwatch 2 จะทำได้แค่ชะลอการเคลื่อนไหวของศัตรูเท่านั้น ไม่สามารถแช่แข็งให้เป็นเป้านิ่งได้อีกต่อไป และระเบิด Stun ของ Cassidy ถูกทดแทนเป็น Magnetic Grenade ระเบิดติดแปะ ที่มีลักษณะการทำงานคล้ายกับระเบิด Semtex ของ Call of Duty
โหมด Hero Mission เน้นการต่อสู้ PvE มาในปี 2023
ใน Overwatch 2 มีโหมดใหม่เอี่ยมที่เน้นการเล่นเกมแบบ PvE ซึ่งโหมดดังกล่าวมีชื่อเรียกว่า Hero Missions และ Story Experience
Story Experience เป็นโหมดเนื้อเรื่องของ Overwatch ที่เกมเมอร์ต้องรับบทเป็นฮีโร่ตัวต่าง ๆ แล้วร่วมมือต่อสู้กับศัตรู AI โดยระหว่างการเล่นโหมดดังกล่าว ผู้เล่นต้องเจอกับข้าศึกมากมาย, ต้องคอยอัปเกรดความสามารถ Talent. มีการต่อสู้กับบอส และแน่นอน มีฉากคัตซีนให้เกมเมอร์รับชมกันในช่วงเริ่มต้นเกม และท้ายเกมอีกด้วย
ส่วน Hero Missions คล้ายกับ Story Experience ยกเว้นมีการดัดแปลงระบบต่าง ๆ เพิ่ม Objective ให้เกมมีความท้าทาย และออกแบบให้สามารถเล่นซ้ำได้สูงมาก (highly replayable) โดย Blizzard ตั้งเป้าว่า Hero Missions จะมีภารกิจให้เล่นมากกว่าร้อยภารกิจ
Hero Missions กับ Story Experience มีกำหนดการวางจำหน่ายภายในปี 2023 (Mutiplayer เล่นฟรี แต่เนื้อเรื่องต้องซื้อแยก) โดยเนื้อเรื่องใหม่จะมีการอัปเดตทุกซีซัน
Push โหมดเกมใหม่สำหรับ Overwatch 2
Push คือโหมดเกมใหม่เอี่ยมของ Overwatch 2 ที่ทีมทั้งสองฝ่ายต้องแย่งกันดันหุ่นยนต์ 1 ตัว เพื่อผลักกำแพงกั้นของฝ่ายเราไปให้ไกลที่สุด คล้ายกับ Escort แต่มันการดันแบบ Race แทน โดยฝ่ายชนะจะเป็นทีมที่สามารถดันหุ่นยนต์ได้ไกลกว่า และจบเกมทันที หากดันหุ่นยนต์ไปถึงจุด Point ปลายทาง ซึ่งเป็นทางตันของแผนที่
เผยโฉม Scoreboard ใหม่
Overwatch 2 มีการปรับเปลี่ยนหน้าต่าง Scoreboard ใหม่ ด้วยการโชว์จำนวน DMG กับ Healing ให้ทุกคนในเกมเห็น จากเดิมที่ภาคแรก ตัวเลขดังกล่าวจะโชว์ให้เฉพาะตัวเองเห็นเท่านั้น พร้อมมีการโชว์ตัวเลขใหม่อย่าง MIT (Damage Mitigated) ที่บอกว่าคุณสามารถบล็อกการโจมตีได้เท่าไหร่ ซึ่งการแสดงผลดังกล่าว เปรียบเสมือนเป็นการเผยว่าผู้เล่นได้เล่นเกมอย่างเต็มที่ไปมากน้อยแค่ไหน
ส่วนด้านขวามือ เป็นการโชว์สถิติตัวละครคลาสที่คุณกำลังเล่นอยู่ ยกตัวอย่างเช่น หากกำลังเล่นเป็น Lucio ก็จะมีการโชว์ว่าผู้เล่นได้ใช้ปืน Knockback ข้าศีกไปกี่ครั้ง ฆ่าศัตรูโดยใช้สภาพแวดล้อมไปกี่ครั้ง และอื่น ๆ อีกมากมาย ที่คลาสแต่ละคลาสจะแสดงสถิติไม่เหมือนกัน
อย่างไรก็ตาม ต้องย้ำว่า Scoreboard อาจมีการเปลี่ยนแปลงดีไซน์ใหม่อีกครั้ง ฉะนั้นเมื่อเกมเปิดให้เล่น Early Access แล้ว ภาพที่เห็นล่างหัวข้ออาจจะแตกต่างเกมเวอร์ชันสุดท้ายก็เป็นไปได้
หันมาใช้ระบบ Battle Pass แทนการสุ่ม Loot Box
โบกมือลากับระบบ Loot Box จากเกมภาคแรกได้เลย เพราะภาคนี้จะหันมาใช้ระบบ Battle Pass ที่กำลังได้รับความนิยมในเกม Live Service ในยุคปัจจุบัน
ระบบ Battle Pass ของ Overwatch 2 จะคล้ายกับเกมอื่น คือ ผู้เล่นต้องเล่นเกม, ทำภารกิจรายวัน และภารกิจรายสัปดาห์ เพื่ออัปเลเวล Battle Pass ไปเรื่อย ๆ แล้วปลดล็อกคอนเทนต์ใหม่ โดยผู้เล่นสามารถเติมเงิน เพื่อปลดล็อก Battle Pass ระดับ Premium ซึ่งจะแจกของรางวัลมากกว่า Battle Pass ปกติ รวมถึงปลดล็อกสกินระดับ Legendary กับแรร์ไอเทมต่าง ๆ อีกด้วย
คอนเทนต์ใหม่ที่ปลดล็อกได้จาก Battle Pass มีตั้งแต่ชุดสกินตัวละคร, Weapon Charm, ลายสเปรย์, ท่า Emote, ฉาก Play of The Game, ฮีโร่ใหม่ และอื่น ๆ อีกมากมาย โดยทุก Battle Pass จะมีการเปลี่ยนแปลงตลอดทุกซีซัน
นอกจากนี้ ไม่ต้องเป็นห่วงว่าสิ่งของทั้งหมดใน Overwatch ภาคแรกจะหายไป เพราะ Blizzard ยืนยันว่าสกุลเงินที่มีอยู่ทั้งหมด ทั้งเครดิต โทเคน OWL และคะแนนการแข่งขัน รวมไปถึงกล่อง Loot Box จะถูกโอนย้ายไปเกม Overwatch 2 โดยอัตโนมัติ
Overwatch 2 เปิดให้เล่นบนแพลตฟอร์ม PlayStation 4, PlayStation 5, Xbox One, Xbox Series X|S, Nintedo Switch และ PC และสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ลิงก์ข้างล่าง
ลงทุนเดิมพันอย่างมั่นใจโดยทีมงานคุณภาพที่ดูแลคุณตลอด 24 ชั่วโมงที่ databet6666 คลิกที่นี่

















0 ความคิดเห็น